การวัดปริมาณไขมันเป็นอีกวิธีในการวัดผลความก้าวหน้าของการลดความอ้วนที่เห็นผลตรงจุด เนื่องจากการลดความอ้วนที่ดีจำเป็นจะต้องลดที่ปริมาณไขมันส่วนเกินในร่างกาย มากกว่าการลดที่ปริมาณตัวเลขน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ซึ่งการวัดปริมาณไขมันถือเป็นตัวช่วยนึง ที่บอกได้ว่าร่างกายของเรามีปริมาณ กล้ามเนื้อ ไขมัน และ ส่วนอื่นๆในปริมาณเท่าไหร่
ทำไมต้องวัดปริมาณไขมัน
ร่างกายของเรานั้นมีความแตกต่างกันโดยกายภาพ บางคนรูปร่างใหญ่ น้ำหนักตัวมากก็จริง แต่น้ำหนักเหล่านั้นมาจากปริมาณของกล้ามเนื้อ ในทางกลับกัน บางคนน้ำหนักตัวน้อยกว่า แต่กลับมีปริมาณไขมันมากกว่า การวัดปริมาณไขมันในร่างกายจึงเป็นตัวชี้วัดว่าร่างกายเรานั้นมีปริมาณไขมันอยู่ที่ร้อยละเท่าไหร่ และ คิดเป็นน้ำหนักเท่าไหร่จากน้ำหนักตัวของเรา เพื่อให้สามารถวางเป้าหมาย และจัดโปรแกรมสำหรับการลดความอ้วนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ค่าปริมาณไขมันในร่างกาย ยังเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพโดยรวมของเราได้อีกด้วย
จะวัดไขมันได้อย่างไร
การวัดปริมาณไขมันนั้นทำได้หลากหลายวิธี ทั้งวิธีแบบง่ายๆ ที่ทำเองได้ที่บ้าน จนไปถึงการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และ เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง แถมยังมีสูตรในการคำนวนมากมายหลายร้อยสูตร ซึ่งอีกหนึ่งวิธีการที่ได้รับการยอมรับ และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย นั้นก็คือ การวัดปริมาณไขมันด้วยคีมหนีบไขมัน Skinfold Caliper หรือ Fat Caliper นั้นเอง
การวัดปริมาณไขมันด้วย Fat Caliper
เป็นการวัดเปอร์เซนไขมันในร่างกาย ด้วยค่าความหนาของขั้นไขมันรวมกับผิวหนัง ที่คิดค้นโดยนักวิทยาศาตร์ด้านสุขภาพ ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำวิธีนึง โดยจะทำการวัดความหนาของบริเวณที่มีการสะสมของไขมันในจุดต่างๆ ของร่างกาย แล้วนำค่าเหล่านั้นมาเข้าสูตรคำนวน เพื่อหาค่าเปอร์เซนของไขมันในร่างกาย ซึ่งสูตรคำนวนที่ได้รับการยอมรับ และ สามารถใช้ได้กับคนทั่วๆ ไปคือ สูตรวัด 3 จุด 4 จุด และ 7 จุดของ Jackson and Pollock
วิธีการวัดเปอร์เซนไขมันด้วย Fat Caliper
เครื่องมือหลักที่ใช้ในการวัดเปอร์เซนไขมันก็คือ คีมหนีบไขมัน หรือ Fat Caliper ซึ่งมีหลากรูปแบบ แต่จะสามารถแยกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ แบบ Analog และ แบบ Digital ราคาก็แตกต่างไปตามวัสดุ การใช้งาน และคุณภาพ
ในการวัดเปอร์เซนไขมันตามสูตร 3 จุด ของ Jackson and Pollock นั้นถือเป็รสูตรที่ทำได้ง่ายที่สุด ไม่ยุ่งยาก แต่ในสูตรอื่นๆ ที่วัด 4 และ 7 จุดนั้นจะให้ผลที่แม่นยำมากกว่า เนื่องจากจะวัดในหลายตำแหน่งมากกว่าโดยค่าความหนาเมื่อหนีบแล้วจะออกมาเป็นหน่วย มิลลิเมตร วิธีการหนีบอาจต้องมีผู้ช่วยเพื่อวัดในจุดที่เอื้อมไม่ถึง และ หนีบบนผิวหนังโดยตรงไม่ผ่านเสื้อผ้า ซึ่งตำแหน่งในการหนีบจะต่างกัน ผู้หญิง และ ผู้ชาย ดั้งนี้
ผู้หญิง
- ตำแหน่งที่ 1 บริเวณหลังแขน (Triceps) วัดตรงระหว่างกลางของช่วงข้อศอกกับหัวไหล่ แล้วหนีบในแนวตั้ง
- ตำแหน่งที่ 2 บริเวณท้องด้านข้าง (Suprailiac) วัดให้เหนือจากด้านหน้าของกระดูกเชิงกราน หนีบในแนวเฉียงตามลักษณะของกระดูกเชิงกราน
- ตำแหน่งที่ 3 บริเวนหน้าขา (Thigh) วัดตรงกลางของท่อนขาด้านหน้าช่วงบน หนีบในแนวตั้ง
ผู้ชาย
- ตำแหน่งที่ 1 บริเวณหน้าท้อง ใกล้กับสดือ (Abdomen) วัดห่างจากสดือประมาณ 2 cm แล้วหนีบในแนวตั้ง
- ตำแหน่งที่ 2 บริเวณหน้าอก (Chest) วัดบริเวณกึ่งกลางระหว่างหัวนม และ รักแร๊ โดยหนีบในแนวเฉียง
- ตำแหน่งที่ 3 บริเวนหน้าขา (Thigh) วัดตรงกลางของท่อนขาด้านหน้าช่วงบน หนีบในแนวตั้ง
เมื่อได้ค่าทั้ง 3 จุดแล้วก็นำค่านั้นมารวมกัน แล้วหารด้วย 3 ออกมาเป็นค่าเฉลี่ย แล้วนำมาเทียบในตารางด้านล่าง โดยดูที่อายุ และ ผลที่ได้ ออกมาเป็นปริมาณไขมัน และ ระดับของไขมันว่า
- ไขมันน้อย (Lean)
- ไขมันเหมาะสม (Ideal)
- ไขมันปริมาณทั่วไป (Average)
- ไขมันสูง (Overfat)
ข้อควรจำในการวัดเปอร์เซนไขมันด้วย Fat Caliper
- ต้องแน่ใจว่าผิวหนังส่วนที่หยิบออกมาวัดนั้น ไม่รวมกับส่วนของกล้ามเนื้อ
- หนีบคีมให้ห่างออกประมาณ 1 cm เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำมากขึ้น
- หาปากกามาเขียน หรือ ทำเครื่องหมายในบริเวณที่หนีบ แล้วหนีบซ้ำ 3-4 ครั้ง เพื่อหาค่าเฉลี่ยที่ใกล้เคียงมากที่สุด
- ควรวัด และหนีบในตำแหน่งเดิม ข้างเดิมเสมอ
- ไม่ควรวิตกกังวลถึงผลในแต่ละครั้งมากจนเกินไป ใช้การวัดไขมันเป็นการวัดความก้าวหน้าของการลดความอ้วน และควรวัดผลโดยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย
References
เรียบเรียง : lovefitt.com
- fitjunctions.com
- bodybuilding.com
- muscleandstrength.com
- topendsports.com