Go to content

เมล็ดเชีย คุณประโยชน์เพื่อหุ่นสวยและสุขภาพดี

เมล็ดเชีย เมล็ดพืชขนาดเล็กที่มีประวัติอันยาวนาน อุดมไปด้วยประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดน้ำหนัก มีโปรตีนและแคลเซียมสูง

ช่วงนี้ไปที่ไหน ตามห้าง ตามร้านต่างๆ ที่ขายสินค้าเพื่อสุขภาพ ก็จะพบเมล็ดพืชคล้ายเมล็ดงา เม็ดแมงลัก วางโชว์เป็นจุดเด่นอยู่หน้าชั้นวาง นั่นคือเมล็ดเชียนั่นเอง เมล็ดเชียเริ่มเป็นที่รู้จักในบ้านเราเมื่อไม่นานมานี้ และเริ่มเป็นที่นิยมในเวลาต่อมาด้วยประโยชน์มากมาย จนได้ชื่ออยู่ในทำเนียบของ Super food เลยทีเดียว

ประวัติและความเป็นมาของเมล็ดเชีย

ความจริงเมล็ดเชียไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่ แต่กลับมีประวัติอันยาวนานกว่า 5000 ปีมาแล้ว เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย(ออกเสียงอย่างฝรั่ง) มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Salvia Hispanica เป็นพืชที่ปลูกในประเทศแม็กซิโกเป็นอาหารของคนในแถบแม็กซิโกและโบลิเวียมานมนานแล้ว

เมล็ดเชียเป็นเมล็ดพืชในกลุ่มของโหระพา และ สาระแน โดยถือเป็นพืชหลักที่ใช้ปรุงอาหารของชาวแอซเท็กและชาวมายัน(อาณาจักรใหญ่ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ 3500 ปีก่อนก่อนคริสตกาลเสียอีก) โดยนิยมนำมาบดรวมกับแป้งคั้นน้ำออกมาดื่ม ด้วยความเชื่อที่ว่าเมล็ดเชียนั้นมีสรรพคุณทางยาช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เป็นอาหารบำรุงกำลังของนักรบชาวแอซเท็ก ใช้เป็นพลังงานและช่วยซ่อมแซมร่างกลายในขณะออกรบและทำสงคราม

แต่หลังจากยุคล่าอนานิคมประเทศในแถบนั้นตกเป็นเมืองขึ้นของเสปน จึงทำให้มีการสั่งห้ามการเพาะปลูกเมล็ดเชียจนทำให้พืชนิดนี้ค่อยๆหายไป จนกระทั้งเข้าสู่ยุคของเมริกาใหม่ ด้วยประโยชน์ที่มากมายจึงทำให้มีการวิจัยถึงประโยชน์ของเมล็ดเชีย และมีการรื้อฟื้นเพาะพันธ์ุเมล็ดเชียขึ้นอีกครั้ง และกลับมาเป็นที่นิยมปลูกกันในหลายประเทศ ทั้งประเทศเม็กซิโก อาร์เจนตินา โบลิเวีย สหรัฐอเมริกา เอกวาดอร์ ออสเตเรีย และกัวเตมาลา แม้แต่ในประเทศไทยก็มีการนำพันธุ์เมล็ดเชียเข้ามาปลูกเช่นกัน

ไขคุณค่าทางอาหารของเมล็ดเชีย

เมล็ดเชียได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในซุปเปอร์อาหาร (Super food) เป็นที่นิยมทานกันในหมู่คนรักสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณหลายอย่างที่เหมาะที่จะนำมาเป็นอาหารในช่วงลดน้ำหนัก จึงทำให้ความนิยมของเมล็ดเชียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ขาดตลาดไปช่วงนึงเลยทีเดียวนะ)

ข้อมูลจากเอกสารจากฐานข้อมูลจาก USDA National Nutrient Database ระบุว่าเมล็ดเชียปริมาณ 1 ออนส์ หรือประมาณ 28 กรัมมีคุณค่าทางอาหารดังนี้

พลังาน 138 kcal
ไขมัน 8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม
ใยอาหาร 10 กรัม
โปรตีน  5 กรัม

โดยการทานเมล็ดเชีย 1 ออนส์( 28กรัม) จะได้รับแคลเซียมเป็น 18% ฟอสฟอรัสเป็น 27% และ แมงกานีสเป็น 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน นอกจากนี้ยังมี โพแทสเซียม ซิงค์และทองแดงเล็กน้อยอีกด้วย

ประโยชน์ต่างๆจากเมล็ดเชีย

เมล็ดเชียขึ้นมาเป็นที่สนใจในวงการสุขภาพได้ด้วยประโยชน์ที่มากมายมายหลากหลาย

ช่วยเรื่องผิวพรรณและการชะลอวัย

ด้วยที่เมล็ดเชียมีสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติสูง จึงทำให้มีสรรพคุณในการช่วยซ่อมแซม บำรุงระบบการทำงาน ช่วยป้องกันการเสื่อมถอยของผิวหนัง สามารถช่วยลดริ้วรอยที่มาจากสารอนุมูลอิสระต่างๆ และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันภายในร่างกายอีกด้วย

ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร

จากข้อมูลของ American Dietetic Association เมล็ดเชีย 1 ออนส์(28 กรัม)จะมีใยอาหารสูงถึง 11 กรัม ซึ่งเพียงพอกับความต้องการใยอาหารที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งเจ้าใยอาหารนี่เอง ที่มีหน้าที่เป็นตัวปรับสมดุลระดับของปริมาณอินซูลินในร่างกาย และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ช่วยลดน้ำหนัก

ใยอาหารในเมล็ดเชียยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักได้ อาหารที่มีเส้นใยสูงนั้นจะช่วยให้อิ่มเร็วและอิ่มได้นานขึ้น โดยเฉพาะคุณสมบัติของเมล็ดเชียที่เมื่อโดนน้ำจะมีลักษณะคล้ายเจลาตินใสๆพองตัวขึ้น เจ้าเจลาตินนี้ไม่เพียงแต่เป็นใยอาหารที่ทำให้อิ่ม แต่ยังเป็นอาหารให้เหล่าจุลทรีย์ที่อยู่ในกระเพาะอาหารของเราซึ่งจะช่วยทำให้การย่อยอาหารนั้นสมบูรณ์ขึ้น นอกจากนี้ในเมล็ดเชียยังมี สังกะสี(Zinc)สูง ที่เป็นตัวช่วยเพิ่ม leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ร่างกายใช้ควบคุมความอยากอาหาร

ช่วยบำรุงหัวใจ

คุณสมบัติอีกอย่างที่โดดเด่นของเมล็ดเชียคือ มีไลโนเลอิกสูง โดยมีความสำคัญต่อร่างกายคือ เป็นกรดไขมันที่ร่างกายเราไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ไลโนเลอิกหรือแอลฟาไลโนเลนิกเป็นกรดไขมันต้นตอที่ร่างกายนำไปสร้างเป็นกรดไขมันชนิดอื่นๆอย่าง อีพีเอ EPA และกรดไขมันดีเอชเอ DHA ได้ ซึ่งทั้งสามตัวนี้คือส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้า 3 นั้่นเอง เชื่อหรือไม่ว่า เจ้าเมล็ดพืชเล็กๆอย่างเมล็ดเชียจะมี โอเมก้า 3 มากกว่าปลาแซลมอนเสียอีก โอเมก้า 3 จัดเป็นกรดไขมันที่ผลโดยตรงกับระบบสมอง หัวใจและความดันโลหิต ช่วยควบคุมระดับคอเรสเตอรอลตัวไม่ดี และเพิ่มระดับไขมันดีในร่างกาย แถมยังมีสารอาหารอื่นๆที่ดีต่อระบบต่างๆของร่างกายอย่าง วิตามิน A D E และ K อีกด้วย

ป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวานประเภท 2

อาหารที่มีใยอาหารสูงจะช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวานประเภท 2 ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือกคงที่ กากใยอาหารเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยชะลอกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการและลดการเกิดโรคได้

เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

เมล็ดเชียถือเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีน โดยเมล็ดเชีย 1 ออนส์ (28 กรัม)จะมีโปรตีนอยู่ 5 กรัม และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยเผาผลาญไขมัน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความอยากน้ำตาล และด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารอื่นๆที่มีมากมาย ล้วนเป็นประโยชน์ในการซ่อมแซมร่างกายจากการใช้งาน แถมยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและความทนทานของร่างกายได้อีกด้วย

บำรุงกระดูกและฟัน

อย่างที่บอกไปเมล็ดเชียมีแคลเซี่ยมสูง ซึ่งดีกับกระดูกและฟัน ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ฟอสฟอรัส วิตามิน D และ โบรอน ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกได้ดีขึ้น

เมล็ดเชียกับเม็ดแมงลักต่างกันอย่างไร

หลายคนมองผิวเผินอาจจะเข้าใจว่าเมล็ดเชียกับเม็ดแมงลักเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ความคล้ายที่ต่างกันก็คือ เมล็ดเชีย ก่อนแช่น้ำจะมีสีน้ำตาลและมีลาย รูปทรงรีกลม เวลาที่อุ้มน้ำแล้วพองตัวขึ้นเป็นเจลใส เจลาตินที่เคลือบอยู่จะมีความใสมากกว่าเม็ดแมงลักในขณะที่เม็ดแมงลักก่อนแช่น้ำจะมีสีดำไม่มีลาย ทรงรีหัวท้ายแหลมเล็กน้อย เมื่อแช่น้ำพองตัวขึ้น จะมีเจลที่ขุ่นกว่า แต่หากพูดถึงเรื่องสรรพคุณระหว่างสองอย่างนี้เรียกว่าไม่ได้แตกต่างมากนัก แต่ราคาเม็ดแมงลักจะถูกกว่าหลายเท่า หากใครคิดว่าเมล็ดเชียที่แพงแบบหูฉี่เป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเกินไป เม็ดแมงลักอย่างไทยก็เป็นตัวตายตัวแทนได้แบบสูสีเลยทีเดียว

ข้อควรระวังในการทานเมล็ดเชีย

ด้วยเมล็ดเชียมีคุณสมบัติอุ้มน้ำ และสามารถอุ้มน้ำได้ถึง 27 เท่า การรับประทานควรทำให้พองตัวเต็มที่เสียก่อน เพื่อไม่ให้เป็นเมือกเหนียวติดตามระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดปัญหาในการกลืนอาหารได้ ทางที่ดีควรผสมเมล็ดเชียพร้อมเครื่องดื่มหรืออาหารก่อนที่จะรับประทาน และเมล็ดเชียไม่เหมาะเป็นอาหารสำหรับเด็กเล็ก และไม่ควรทานเมล็ดเชียแทนอาหารอย่างอื่นเพื่อการลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้นจะต้องเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายและจำกัดปริมาณที่เหมาะสม การทานเมล็ดเชียเพียงอย่างเดียวไม่มีผลกับการลดน้ำหนักแต่อย่างใด

 

เรียบเรียง: lovefitt.com

Credit: nathary.com,foodmatters.tv, www.doctor.or.th, health.kapook.com, draxe.com , medicalnewstoday.com

Latest