อย่างที่หลายๆคนคงเคยได้ดูและได้อ่านประการณ์ของผึ้งที่ได้เคยไปพูดไว้ในรายการ Good Shape Save Cost ถึงประสบการณ์มหากาพย์การลดอ้วนของผึ้ง ที่ผ่านมาหลากหลายวิธีการ ทั้งถูก ทั้งผิด สูญเงินไปมากมายก่ายกองเพื่อความผอม และหนึ่งในช่วงที่ทำผิดมากที่สุดก็คือ การเข้าไปใช้ยาลดความอ้วน และตกอยู่ในสภาพผู้ติดยา เพราะต้องพึ่งพามันจนเป็นนิสัย
อย่าเข้าใจผิดว่ายาลดความอ้วนทานแล้วติดเหมือนยาเสพติดนะคะ แต่สิ่งที่เราติดนั้นคือจิตใจของเราเอง เราเสพติดความผอม เราเสพติดความสวย เราเสพติดผลอันรวดเร็วของยา และเราก็เสพติดความสบายที่ไม่ต้องพยายามอะไรก็ผอมได้ต่างหาก
ผึ้งเริ่มใช้ยาครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปี 1 ด้วยความที่อยากจะผอม อยากจะสวย อยากจะดูดีอย่างเพื่อนๆ อยากจะใส่เสื้อผ้าสวยๆได้อยากคนอื่นๆ แต่เราเป็นคนชอบทาน และไม่ออกกำลังกายอะไรมากมาย และด้วยกระแสในยุคนั้นการลดน้ำหนักจะเป็นไปแนวการไปหาหมอเพื่อลดน้ำหนัก และในช่วงเวลานั้นต้องยอมรับว่า สถานพยาบาลที่มีบริการลดน้ำหนักก็มีอยู่ทุกที่ ทุกห้างสรรพสินค้า และผึ้งเองก็เลือกเข้ารับบริการที่คลีนิคแห่งหนึ่งในห้างดังกลางใจเมือง
การรักษาไม่มีอะไรมาก เข้าไปพบแพทย์ ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน รับยา และกลับบ้าน ยาจะถูกแบ่งเป็นชุดๆ A B C D ตามความแรงของยา และยาเพื่อหยุด ในแต่ละชุด จะแบ่งขั้นความแรงของยาอีกเป็น A-1 A-2 และ A-3 หมอจะเริ่มจ่ายยาจากยาที่เบาๆก่อน แล้วเพิ่มระดับความแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยจะมีการปรับยาทุกๆ 2 สัปดาห์ (ทุกครั้งที่หมอนัด)หรือ ถ้าหากชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักยังลงก็จะไม่ปรับยาขึ้น ผลที่ได้คือความผอม ผอมลงเร็วมาก จนทุกคนเห็นความแตกต่าง เราเองก็ภูมิอกภูมืใจที่สามารถมีสวยหุ่นดีได้อย่างใจหวัง แต่เรื่องราวมันไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามเสมอไป เมื่อเราลดน้ำหนักได้ที่แล้ว หมอจะเริ่มถอยชุดยากลับโดยลดระดับความแรงของยาลง เพื่อให้เราปรับสภาพกลับมาเป็นปรกติ และให้ยาหยุดเรามาทาน และก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิม กิน ดื่ม อย่างปรกติ ผลที่ตามมาก็คือน้ำหนักตัวเราก็ค่อยๆขยับตัวขึ้นทีละ 1-2 กิโลกรัม เมื่อเราเห็นว่าน้ำหนักเราขึ้น เราเคยใช้วิธีการลดด้วยยาแล้วได้ผล เรารักความสบาย เราก็เลยกลับไปหาหมอใหม่ แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งแรก ยาระดับเบาๆเริ่มไม่ได้ผล หมอจึงต้องจ่ายยาในระดับที่สูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อได้น้ำหนัก ก็ถอยยาและให้ยาหยุดเป็นวัฐจักร
1 ปีที่กินยาอยู่อย่างนั้น 1 ปีทีสาระวนกับลดแบบผิดๆไม่ต่างอะไรกับคนติดยา ผลที่ได้รับสุดท้ายปลายทางแล้วเราก็กลับมาอ้วนอย่างเดิม หรือในบางรายก็อ้วนยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ผลทางร่างกายที่ได้รับ ณ.ช่วงเวลานั้นคือ นอนไม่หลับ หน้ามืด หิวน้ำ ปากแห้ง ตาโหล หงุดหงิดง่าย ท้องผูก และผลที่ได้รับอย่างถาวรก็คือ เป็นโรคริดสีดวงทวาร ที่เกิดจากการทานยาถ่ายเป็นเวลานาน
นั้นคือเรื่องในอดีต แต่ที่น่ากลัวก็คือในปัจุบันยาลดน้ำหนักไม่ได้จ่ายโดยหมออีกต่อไป แต่กลับขายกันอย่างโจ๋งครึ่มบนอินเตอร์เน็ต พร้อมมีกลอุบายมากมายที่ออกมาหลอกล่อคนใจร้อน อยากผอมไว บอกว่าทำจากสมุนไพรบ้างทำจากโน่น นั้น นี้ บ้าง ไม่โยโย่ ซึ่งคำโฆษณาเหล่านี้เนี้ยะหล่ะ เป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนหลงผิด จงจำไว้ว่า ถึงยาจะทำจากสมุนไพรจริงๆ แต่อย่าลืมว่าเราเองไม่ได้แก้พฤติกรรมเราเลยแม้แต่น้อย เราทานยาเข้าไปเพื่อช่วย เมื่อหมดตัวช่วยแต่พฤติกรรมเดิมๆเรายังอยู่ สุดท้ายต่อให้ยาดีแค่ไหนก็ยากจะต้านทานนิสัยเราได้ ฉุกคิดให้ยาวซักนิด ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่พยายามค่ะ
อันตรายจากยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วนที่ก่อให้เกิดอันตรายดังกล่าวได้ถูกห้ามผลิตหรือนำเข้ามาจำหน่าย แต่ก็ยังมีการลักลอบจำหน่ายกันตามสถานบริการลดน้ำหนักบางแห่ง รวมถึงใช้ระบบการขายตรง ยาลดความอ้วนเหล่านี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ตื่นตัว นอนไม่หลับ ไม่รู้สึกหิว หัวใจจะเต้นแรงและเร็ว ปากแห้งคอแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน และท้องผูก ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการประสาทหลอน กระสับกระส่าย ชัก และตายได้ บางรายอาจไม่มีอาการเฉียบพลัน แต่จะมีแรงดันโลหิตในปอดสูงขึ้น จนท้ายที่สุดก็เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต
ปัจจุบันมียาลดความอ้วนที่นิยมใช้กันอยู่หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มที่ทำให้เบื่ออาหารไม่รู้สึกอยากอาหาร กลุ่มขับปัสสาวะ ยาระบาย ฮอร์โมนกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน เป็นต้น ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง บางกลุ่มก็ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ จริงอยู่ที่ความอ้วนมีผลเสียมากมาย นำไปสู่โรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และยังมีผลต่อความสวยความงามอีกด้วย แต่การลดน้ำหนักด้วยการใช้ยาก็ต้องระมัดระวัง เพราะส่วนใหญ่ที่พบทั่วไปในท้องตลาดและนิยมใช้กันคือกลุ่มที่ลดความอยากอาหาร
ผลข้างเคียงของยาลดความอยากอาหารคือ ปากแห้ง กระหายน้ำ หงุดหงิด นอนไม่หลับ คลื่นไส้ และเมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็จะดื้อยา พอหยุดใช้ยาก็เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ ทำให้กลับมาอ้วนเหมือนเดิมหรือไม่ก็อาจจะน้ำหนักมากกว่าเดิมอีก ส่วนยาพวกขับปัสสาวะก็ไม่ได้ช่วยลดไขมัน แต่จะขับน้ำและเกลือแร่ออกมา อาจเกิดความไม่สมดุล บางรายหัวใจเต้นผิดปกติ หรืออาจหยุดเต้นไปเลย
การลดความอ้วนที่ดีที่สุดและได้ผลระยะยาวก็คือ การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งหลายๆ คนก็ทราบถึงหลักการนี้ดี แต่ก็เป็นเรื่องที่พูดง่ายทำยาก ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ คนอ้วนโดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วยมักจะมีปัญหาเรื่องการออกกำลังกาย จึงทำให้รู้สึกท้อแท้และปล่อยเลยตามเลย คือคิดว่าไหนๆ ก็ลดความอ้วนไม่ได้เพราะไม่ได้ออกกำลังก็เลยทำให้ไม่คุมอาหาร เพราะถูกปลูกฝังความเชื่อที่ว่า ต้องคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมกันจึงจะลดได้
คนอ้วนที่ยังแข็งแรงบางคนก็พยายามออกกำลังกาย แต่พอเหนื่อยก็หิวแล้วก็กินเพิ่ม แทนที่จะลดความอ้วนกลับกลายเป็นว่าอ้วนมากขึ้น ในที่สุดก็เลิกออกกำลังกาย อันที่จริง หัวใจของการลดความอ้วนอยู่ที่การควบคุมอาหารเป็นหลัก เน้นว่า “ควบคุม” ไม่ได้ให้อดอาหาร เพราะการอดอาหารจะทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานผิดปกติและยังทำลายกล้ามเนื้อดังนั้น ควรกินให้ครบ 3 มื้อ บางคนเน้นกินโปรตีน ผักผลไม้ บางคนเน้นลดแป้ง ก็แล้วแต่ทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมักทำได้ยากเพราะมีอาหารอร่อยๆ ล่อตาล่อใจอยู่มากมาย เมืองไทยมองไปทางไหนก็ของกินเต็มไปหมด หากต้องการลดความอ้วนแล้วก็ต้องอย่าตามใจปาก ให้มีสติทุกครั้งที่กินและดื่ม พยายามจัดเมนูอาหารคร่าวๆ ของตัวเองโดยคำนึงถึงพลังงานที่จะได้รับเข้าไป อย่าให้มากเกินความต้องการเพราะจะสะสมเป็นไขมัน
ลดอาหารประเภททอด หวาน มัน ดื่มน้ำเปล่ามากๆ วันละ 6-8 แก้ว และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะจะช่วยเผาผลาญไขมันและยังเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อที่จะช่วยเร่งการเผาผลาญให้มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของสุขภาพ”การมุ่งดูแลร่างกายให้แข็งแรง มีรูปร่างสัดส่วนที่สมดุล” ต่างหากที่ดีกว่าการตั้งหน้าตั้งตาเพื่อจะผอมเพียงอย่างเดียว (หมอชาวบ้าน)
อ่านเรื่องราวเต็มๆว่าผึ้งลดอย่างไรได้ที่ ประสบการณ์ มหากาพย์ลดอ้วน ค่ะ ไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจค่ะ
Credit:หมอชาวบ้าน