เอาหล่ะตามที่ได้สัญญาไว้นะ ว่าจะมาเล่าให้ฟัง เรื่องเครื่องหนีบไขมัน หรือ เจ้า Fat Calliper บางคนก็จะเรียก เครื่อง Skinfold ซึ่งความจริงเราได้เคยนำเสนอไปแล้วใน lovefitt.com ในเนื้อหาตอน “คุมอาหาร-ออกกำลังกาย แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลง” ว่ามันเป็นเครื่องมือนึงที่ใช้วัดปริมาณไขมันในร่างกายเรา
Fat Caliper คืออะไร
อย่างที่เกริ่นไป ไอ้เจ้า Fat Calliper เนี้ยะมันเป็นเครื่องมือนึง ที่ใช้วัดปริมาณไขมันในร่างกาย โดยจะดูจากความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง นึกภาพตามนะ มันจะเหมือนก้ามปูที่เอาไว้หนีบเอาเนื้อบริเวณที่ต้องการวัด ขึ้นมา อืมจะว่าไปก็คล้ายๆเหมือนโดนคุณครูหยิกตอนเด็กๆอ่ะนะ (เด็กรุ่นใหม่ยังโดนป่าวหว่า)
ซึ่งเมื่อหนีบแล้วที่เครื่อง จะมีปริมาณความหนาวัดบอกเป็นตัวเลข หน่วยเป็น มิลลิเมตร ว่าหนามากหรือหนาน้อยขนาดไหน โดย Fat Calliper เองก็มีหลายแบบ แต่จะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ตามหลักของเครื่องชั่ง เครื่องตวงวัด ทั่วไป คือเป็นแบบ Manual และ แบบ Digital ราคา รูปแบบต่างกันไป ตามความละเอียด และวัสดุที่นำมาผลิต
โดยแบบพลาสติกอันเล็กสุดราคาถูกมาก หาซื้อได้ตามอินเตอร์เน็ต ราคามีตั้งแต่ 90-300++บาท คุณภาพคงตามราคา อันที่เราได้มา ก็สั่งจากเว็ปขายของออนไลน์เจ้าใหญ่เจ้านึง สนนราคา 90 บาทรวมค่าส่ง ดูจากวันที่ได้รับของ หน้าซองมันโชว์ที่อยู่ว่ามาจากจีน แต่เราก็ไม่รู้นะว่า ไอ้ที่แบบเหมือนกันแต่ราคาต่างกันเนี้ยะมันจะดีกว่า หรือหักยากกว่าไหม ส่วนอีกอันซื้อมาเพื่อเปรียบเทียบโดยเฉพาะ เลยเอาเป็นแบบ Digital มา ราคา 400++ อันนี้ก็สั่งจากในเน็ตเหมือนกัน
ท้าวความไปไกลนิดนึง Fat Calliper สำหรับเราไม่ใช่ของแปลก สมัยเรียนมัธยมต้น เราเป็นหนึ่งกลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยโรคอ้วนในเด็กหล่ะ วันดีคืนดีก็จะมีเจ้าหน้าที่มาที่โรงเรียน เรียกตัวเราไป ชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง แล้วก็เอาที่หนีบขนาดใหญ่ (เหมือนเครื่องทรมานหน้าตาแปลกๆ) มาหนีบที่หลังแขน อิตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าหน้าที่เค้าหนีบวัดอะไร เห็นหนีบๆแล้วจดค่าไป ทำอย่างอย่างนั้นประมาณ 2-3 ปีแล้วเค้าก็หายไป เพิ่งมาถึงบางอ้อตอนโตนี่หล่ะว่าเครื่องนั้นคือ Fat Calliper นี่เอง
Fat Caliper ใช้อย่างไร
เอาหล่ะเข้าเรื่องต่อ Fat Calliper หรือ Skinfold เนี้ยมีข้อดีคือ มันใช้วัดเปอร์เซนไขมัน รวมของเรา และเราก็สารมารถนำค่านี้ไปแยก ปริมาณกล้ามเนื้อจริงๆออกได้ด้วยสูตรคำนวนอีกสูตรนึง โดยการวัดจะใช้ค่าเฉลี่ย จากค่าความหนาตามจุดสะสมไขมันต่างๆของร่างกาย โดยมีสูตรวัดตั้งแต่ 3 จุด 4 จุด จนถึง 7 จุด โดยจะหนีบที่ ส่วนต่างๆดังนี้
- ส่วนบนของอก ถ้าเป็นผู้หญิงจะอยู่บริเวณใกล้รักแร้
- หน้าและหลังต้นแขน
- หนอกหลัง(เนื้อหนอกที่บางคนชอบกินนั่นหล่ะ)
- หน้าท้องเหนือเชิงกราน
- หน้าท้องส่วนบนใกล้ราวนม
- สะโพกด้านหลังเหนือก้น
- หน้าขา
- น่องด้านใน
คือยิ่งวัดมากจุดก็ยิ่งหาค่าได้แม่นยำขึ้น เมื่อได้ค่าแล้วก็นำหาค่าเฉลี่ย แล้วนำค่าเฉลี่ยนั้นไปเปรียบเทียบในตารางที่เค้าแถมมากับเครื่องก็ได้ หรือคำนวนโดยใช้สูตรคำนวน ที่สูตรยาวมาก เอาง่ายๆ ถ้าไม่อยากยุ่งยากกับตัวเลข ลองใช้เครื่องคำนวนที่มีให้บริการบนเน็ตก็ได้ โดย search คำว่า Jackson Pollock แล้วลองเข้าไปคำนวณกันได้เลย
ถ้าเป็นตารางโดยตารางจะเทียบจากอายุ และเพศ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่เราวัดหนีบได้ ก็จะได้ค่าเปอร์เซนของปริมาณไขมันและแยกกลุ่มความหนาตราช้างของเรา ซึ่งได้แก่ Lean (ไขมันน้อยมาก) Idea (ฟิตกำลังงาม) Average (ทั่วๆไป) หรือ Overweight (เจ้าเนื้อ)
สำหรับเครื่องคำนวนบนอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน เค้าจะให้เราใส่รายละเอียด อายุ เพศ น้ำหนัก และค่าจากส่วนต่างๆที่เราวัดได้จาก Fat Calliper แล้วก็กดคำนวนเลย(ง่ายฝุดๆ) จากนั้นก็จะได้ค่าเปอร์เซนไขมันมา พร้อมแบ่งกลุ่มให้เช่นเดียวกับตารางที่เครื่องแถมมา ค่าเปอร์เซนไขมันที่ได้นี้ก็จะสามารถนำไปจัดตารางการกินและการออกกำลังกายได้อย่างแม่นยำขึ้น
Fat Caliper แบบ Manual และ Digital แบบไหนดี
ความต่างของเครื่อง Fat Calliper ทั้งสองแบบนอกจากราคาแล้วคือความสะดวกในการใช้งาน สองแบบนี้มันก็ใช้ยากกันไปคนละแบบนะ ถ้าเป็นแบบ Manual ส่วนตัวมองว่ามันก็ใช่ง่ายดี หนีบแล้วกด ตรงสปริงตัวที่บอกค่า แต่เราก็แอบกลัวว่าพลังช้างสานของเรา ที่นอกจากฆ่าหมีด้วยมือเปล่าได้แล้ว จะหัก Fat Calliper ออกเป็นสองชิ้นได้เพียงการสัมผัสครั้งเดียว เพราะมันช่างบอบบางเหลือเกิน
ส่วนเครื่องแบบ Digital ก็สะดวกหน่อย แข็งแรง บึกบึนขึ้นมาหน่อย (ก็คุณภาพตามราคาจ๊ะ) แต่จะงงๆตอนเซ็ตว่าจะหนีบเข้าหนีบออก ตั้งเครื่องให้เป็นศูนย์ตรงไหน ดีทีมีปุ่ม Hold สามารถกดให้ค่าค้างไว้ แล้วนำมาจดได้สะดวก ส่วนค่าที่เป็นเศษทศนิยมบางทีก็ทำให้เกิดความยุ่งยากในการคำนวนเหมือนกัน แต่ถ้าใช้เครื่องคำนวนในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ต้องกลัวใส่ได้โลด อีกอย่างด้วยที่มันเป็นเครื่องแบบ Digital ก็ต้องใส่ถ่านนะ หมดหรือตายระหว่างหน้าที่คงจะต้องยุ่งยากออกไปซื้อมาเปลี่ยนหมั่นเช็คอย่าให้ถ่านเก่าจนออกน้ำเหนียวๆหล่ะ
แต่…เครื่องทั้งสองชนิด ทั้งแบบ Manual และ Digital มีความลำบากอย่างนึงที่เหมือนกันคือ มันวัดคนเดียวไม่ได้หว่ะเฮ้ยยยยย ต้องมีคนช่วยวัด โดยเฉพาะในจุดที่เข้าไม่ถึง เช่น หลังแขน สะโพกบนด้านหลัง และ หนอกหลัง แถมเวลาวัด คนวัดจะต้องจับให้โดนชั้นไขมันจริงๆด้วยนะ โดยเอามือคีบลึกๆแล้วค่อยๆลูดออก คือต้องใช้สกิลนิดนึงอ่ะ บางทีหนีบหลายรอบ แดงเลยค่าาา 5555 กว่าจะได้ค่ามา เอาเป็นว่า เครื่องทั้งสองรูปแบบมีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกัน เลือดเอาได้ตามความถนัดได้เลย
Fat Caliper จำเป็นไหม
มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงอยากรู้ว่าเราควรเสียเงินให้สิ่งเหล่านี้ไหม จะตอบอย่างนี้นะว่าความจริงแล้ว Fat Calliper หรือ Skinfold นั้นจำเป็นหรือไม่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความชอบของเรามากกว่า ว่าเราจริงจังกับการลดไขมมันมากขนาดไหน มีเป้าหมายชัดเจนและฮาร์ดคอร์มากแค่ไหน เพราะถึงไม่มี เราก็ยังสามารถลดไขมันได้อยู่ดี (แต่ก็ต้องหาการวัดผลอย่างอื่นแทนนะ) Fat Calliper เป็นเครื่องบ่งชี้ความก้าวหน้าของการไดเอทและการฝึกการออกกำลังกาย เราเคยคุยกับหลายๆคนที่เล่นกล้ามและเพาะกายเค้าก็รู้จักนะ แถมมีด้วย แต่ไม่ใช้ก็มี
เอาเป็นว่า ลางเนื้อชอบลางยาง ใครชอบแบบไหนเอาแบบนั้นไม่มีผิดถูก แต่ส่วนตัวมองว่ามีก็สนุกดี ได้มีเรื่องไปคุยกับเพื่อนๆได้ว่าเราพัฒนาไปแค่ไหน ได้รู้ว่าว่าจะจัดตาราง การทานและการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกายในช่วงนั้นๆ เพื่อพัฒนามากขึ้นและ แก้ไขข้อผิดพลาด แต่ถ้าไม่มี Fat Calliper ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็เก็บวัดผลอย่างอื่นเอาก็ได้
คนที่ลดแบบที่มีเป้าหมายไม่ฮาร์ดคอร์นัก ไม่ต้องมีก็ได้ วัดสัดส่วน ส่องกระจก ชั่งน้ำหนักก็เพียงพอแล้ว หรือถ้าจะเอาให้ลงลึก ก็ไปตรวจร่างกายประจำปี เจาะเลือดวัดไขมันกับหมอก็ได้ เพราะเชื่อไหม เครื่องมือร้อยแปดพันอย่าง ไม่ว่าดีแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ถ้าเราไม่ได้ปรับและเปลี่ยน พฤติกรรมการรับประทานและการใช้ชีวิต